จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ยังไม่เลวร้ายเท่ากับการเกิดโรคระบาด Covid-19 ที่ทำให้ธุรกิจทั่วโลกรวมถึงในไทยต่างต้องทรุดหนัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจบางรายตัดสินใจปิดกิจการ เนื่องจากไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายได้เท่าเดิม แม้แต่ Marriott International กลุ่มโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยังมีนโยบายให้พนักงานกว่าหมื่นคนทั่วโลกลาพักร้อนโดยไม่รับเงินเดือน ในขณะที่ Hilton Hotels and Resorts ประกาศปิดโรงแรมในเครือกว่า 150 แห่งในจีนอย่างไม่มีกำหนด (ประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ 2563) นายอาร์เน่ โซเรนเซ่น ผู้บริหารในกลุ่ม Marriott International กล่าวว่า “โรคระบาดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากกว่าการรวมวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และเหตุการณ์ 9/11 เข้าด้วยกัน” แต่ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้ไม่กระทบต่อโรงแรมในเครือ La Flora group ที่สามารถเพิ่มรายได้ผ่านยอดการจองตรงที่หน้าเว็บไซต์สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ภายในกลางเดือนมีนาคม 2563 เท่านั้น โดยสามารถสร้างยอดขายทั้ง 3 โรงแรมรวมกันทั้งสิ้น 24 ล้านบาท โดยใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ เฉพาะการจองออนไลน์ และผ่านหน้าเว็บไซต์เท่านั้น
ยอดขายที่เกิดขึ้นหมายความว่าอย่างไร?
เรากำลังจะบอกว่าเฉพาะปีที่แล้วโรงแรมเดียว เราสร้างยอดขายได้ถึง 11 ล้านบาท และในปีนี้เราตั้งเป้าไว้ที่ 20 ล้านบาท ซึ่งนั่นทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะต้องทำลายสถิติเดิม และกังวลไปพร้อมกัน เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 แต่ถ้าย้อนกลับไปได้เรามั่นใจที่จะบอกพาร์ทเนอร์ว่า “เราทำได้อย่างแน่นอน” เป็นไปได้อย่างไรที่โรงแรมในเครือ La Flora group สามารถสร้างยอดขายได้อย่างมหาศาล และเตรียมพร้อมสำหรับวางแคมเปญการตลาดถัดไป ในขณะที่โรงแรมอื่น ๆ ต้องลดค่าใช้จ่ายลง และพนักงานกว่า 50 ล้านคนมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นคนว่างงาน ซึ่งใน Case study นี้เราจะอธิบายว่าเราช่วยให้พาร์ทเนอร์ประสบความสำเร็จได้อย่างไร เพียงแค่ปรับวิธีการคิด อาจทำให้คุณประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน
ความสำเร็จที่แท้จริงในการทำการตลาดออนไลน์คือการวางกลยุทธ์ในระยะยาวที่เหมาะสมกับธุรกิจมากที่สุด โดยทำไปพร้อม ๆ กับการออกแบบครีเอทีฟให้น่าสนใจ และเขียนก๊อบปี้ที่ดึงดูดผู้อ่าน สิ่งที่พูดถึงในข้างต้นอาจจะดูเข้าข้างตัวเองไม่มากก็น้อย แต่ในฐานะเจ้าของเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์ เรายืนยันจากใจว่าเราเคยทำให้ลูกค้าในกลุ่มโรงแรมหลายรายก่อนหน้านี้ต้องผิดหวัง จึงทำให้เราเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจมากที่สุด ซึ่งเจ้าของโรงแรมส่วนมากในยุคเก่ามักใช้การตลาดออนไลน์เฉพาะการเพิ่มยอดขายในช่วงเวลาสั้น ๆ และนั่นก็ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจเช่นกัน ในครั้งแรกที่เราเข้ามาดูโปรเจกต์ La Flora group เมื่อ 2 ปีก่อน เราช่วยสร้างยอดขายให้กับหนึ่งโรงแรมในเครือกว่า 67% ภายใน 12 สัปดาห์ เป็นเพราะเรามีแผนการตลาดในระยะยาวที่ดี มีกลยุทธ์ที่เน้นการเพิ่มยอดขาย และได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารโรงแรมที่ตัดสินใจเลือกทิศทางการทำงานโดยอิงจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และยังมองเห็นศักยภาพของ Social media ที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่ธุรกิจได้อีกด้วย
ธุรกิจส่วนมากไม่ค่อยมีความยืนหยุ่นให้พนักงานทำงานร่วมกันระหว่างทีม จึงทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บริษัทส่วนใหญ่เสียเวลาถึง 80% ในการพยายามปรับดีไซน์ให้ดูสวยขึ้น หรือเขียนก๊อบปี้ที่ทำให้คนต้องหยุดอ่าน ทั้ง ๆ ที่รายละเอียดพวกนี้มีผลต่อการช่วยเพิ่มยอดขายแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในขณะที่การสร้างเนื้อหา หรือองค์ประกอบอื่น ๆ ให้ตรงกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สอนให้เรารู้ว่าการโฟกัสในส่วนนี้มากเกินไปย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรใช้เวลาคิด และตั้งคำถามเกี่ยวกับการวางกลยุทธ์ให้มากขึ้น แทนที่จะคิดว่าดีไซน์ในครีเอทีฟไหนสวยกว่ากัน ให้ลองเปลี่ยนมาตั้งคำถามดังต่อไปนี้
ลูกค้าจะซื้อสินค้า/บริการของเราตอนไหน และปัจจัยอะไรที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ?
อะไรที่ทำให้ลูกค้าไม่ซื้อสินค้าของเรา?
ทำไมลูกทักข้อความมาสอบถามสินค้า/บริการแต่ไม่ตัดสินใจซื้อ?
ทำอย่างไรที่จะพัฒนาข้อเสนอของสินค้า/บริการให้ถูกใจกลุ่มลูกค้าออนไลน์มากที่สุด?
ซึ่งคำถามเหล่านี้มักไม่ค่อยถูกพูดถึงในระหว่างการพูดคุยของทีมอินเฮ้าส์ และเอเจนซี่ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นประเด็นที่ได้รับการถกเถียง หรือเปิดใจที่จะหาข้อสรุปร่วมกันมากที่สุด เพราะคำตอบที่ได้จะสามารถนำไปพัฒนา ปรับปรุง เพื่อทำให้แบรนด์มียอดขายที่เพิ่มมากขึ้นได้
เราใช้เวลากว่าครึ่งปีในการตระหนักได้ว่าโรงแรมส่วนมากไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่จุดประสงค์หลักคือการเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของ และผู้ถือหุ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดโดยตรง
แต่สำหรับผู้บริหารในกลุ่มเครือโรงแรม La Flora group กลับมีมุมมอง แนวความคิดที่แตกต่างออกไป และจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเขียน Case study เรื่องนี้ขึ้นมา
อย่างแรกเลยคือทีมผู้บริหารของโรงแรมเชื่อในพลังของ Social media พวกเขารู้ว่ามีผู้ใช้งานบน Facebook ประมาณ 2.5 ล้านคนในทุก ๆ เดือน และเห็นศักยภาพในการดึงเอากลุ่มคนที่ใช่มาเป็นฐานลูกค้า และแปรเปลี่ยนมาเป็นรายได้ให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันเราดูแลแคมเปญการตลาดออนไลน์ให้กับโรงแรมในเครือ La Flora group ทั้งหมด 3 โรงแรม ได้แก่ La Vela Khaolak, Casa de La Flora, และ La Flora Khaolak โดยเน้นไปที่การใช้ Social media เป็นเครื่องมือหลักในการหาลูกค้าที่มีความชอบ หรือมีแนวโน้มที่จะสนใจ และตอบสนองกับสิ่งที่แบรนด์นำเสนอ
ถึงแม้เราสามารถสร้างยอดขาย 24 ล้านบาท ภายใน 6 สัปดาห์ แต่ความจริงแล้วเราใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการค่อย ๆ หล่อหลอมความสำเร็จขึ้นทีละนิด และต่อไปนี้คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นจนทำให้ประสบความสำเร็จตามที่เราคาดหวังไว้
1. วางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ในระยะยาว
“กลยุทธ์” เป็นศัพท์ทางการตลาดที่คุณอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นค่อนข้างบ่อย แต่สำหรับเอเจนซี่บางแห่งมักจะใช้คำนี้เพื่อปกปิดผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามเป้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีการวางแผนที่ดี และเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
สำหรับโรงแรมในเครือ La Flora group เราแบ่งภาพรวมของกลยุทธ์ออกเป็น 2 หลักใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้
โดยทั้ง 2 กลยุทธ์นี้จะใช้วิธีการสื่อสาร การนำเสนอ ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่น คุณสามารถนำเสนอโปรโมชันให้กับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า/บริการ หรือรู้จักแบรนด์ของคุณเป็นอย่างดี แต่จะไม่สามารถนำเสนอไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ เนื่องจากเขาไม่รู้จักแบรนด์คุณมาก่อน และไม่รู้ว่าสินค้า/บริการนั้นให้คุณค่ากับพวกเขาอย่างไรบ้าง
ตัวอย่างโฆษณาแบบ Performance Marketing ที่มุ่งเน้นไปยังลูกค้าที่ “พร้อมจะซื้อ” แล้วเท่านั้น
และตัวอย่างโฆษณาแบบ Content Marketing ที่เน้นพูดคุยไปยังลูกค้าที่ “ไม่เคยรู้จัก” โรงแรมในเครือ La Flora group มาก่อน
2. การจัดทำแคมเปญ Content Marketing อย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากข้อ 1. ที่กล่าวไป La Flora group ได้เน้นวางกลยุทธ์แบบ Content Marketing ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ให้กว้างมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลข้อเดียวคือ “คนส่วนใหญ่ที่เห็นโฆษณาในครั้งแรกมักจะไม่จองโรงแรมในทันที”
จากสถิติพบว่ามีเพียง 3% เท่านั้นที่พร้อมซื้อแบบไม่มีเงื่อนไข ที่เหลือ 97% จะอยู่ที่พฤติกรรมส่วนบุคคลของลูกค้าว่ามีการรับรู้เรื่องแบรนด์อยู่ในระดับใด โดยมีตั้งแต่คนที่สนใจไปจนถึงคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อแบรนด์มาก่อน
เราใช้เวลากว่า 2 ปี ในการชักจูงกลุ่มคนที่ไม่รู้จักให้กลายมาเป็นคนที่พร้อมซื้อสินค้า/บริการของเราอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการนำเสนอสิ่งที่น่าสนใจ เช่น ภาพวิวทะเลสวย ๆ หรือภาพอาหารที่น่าทาน เพื่อทำให้คนเหล่านั้นหยุดอ่าน หรือพยายามทำความรู้จักเรามากขึ้น แม้แต่คนที่เริ่มสนใจแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อก็จะดึงดูดด้วยโปรโมชัน หรือส่วนลดที่จะกระตุ้นให้มีความต้องการซื้อมากขึ้นกว่าเดิม
แล้วคุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณใช้กลยุทธ์ Content Marketing กระตุ้นการมีส่วนร่วมของกลุ่มลูกค้าเป็นระยะเวลา 2 ปีเช่นเดียวกันกับเรา?
3. ประยุกต์ Performance Marketing เพื่อวัด ROAS & ยอดขายโดยตรง
บริษัทส่วนใหญ่ทำมาถึงขั้นตอนนี้แล้วหยุด ซึ่งเราจะบอกว่ามันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เป้าหมายสูงสุดในการทำการตลาดคือการสร้างยอดขาย ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ เพราะสิ่งนี้จะเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
และสิ่งสำคัญในการโน้มน้าวคนให้มาจองห้องพักคือการมีข้อเสนอที่ดี เราใช้เวลากว่า 2 ปีในการทดสอบโปรโมชัน หรือดีลต่าง ๆ มากมาย เพื่อดูว่าลูกค้ามีความชอบ รู้สึกเฉย ๆ หรือรีบจองกับเงื่อนไขในการโฆษณาแบบไหนมากที่สุด และในปีที่ 3 นี้เองที่ทำให้เราสรุป 4-5 โปรโมชันที่ได้จากการเรียนรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาสำหรับการเร่งสร้างยอดขายโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตามโปรโมชันกว่า 50% บางครั้งก็ไม่เวิร์ก บางครั้งก็ดี แต่บางทีก็ได้รับความสนใจจนทำให้เกิดยอดจองอย่างล้นหลาม
จากบทเรียนอันล้ำค่ากลายมาเป็นความสำเร็จที่ทำให้เรารู้ว่าการตัดสินใจวางกลยุทธ์โดยอิงจากข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงจะทำให้การวางแผนเป็นได้อย่างแม่นยำ และสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปพูดคุยกับทีมงาน La Flora group เพื่อหาข้อสรุปที่ดีที่สุดสำหรับการปรับปรุง พัฒนา ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้กลายเป็นแพทเทิร์นที่ทำให้เราได้ใช้ และเรียนรู้เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เรายังคงยืนยันว่าให้อิงจากข้อมูลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า มากกว่าการใช้ความรู้สึกส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่งในการตัดสินใจ
มาถึงตรงนี้คุณอาจกำลังสงสัยว่าสิ่งที่เรานำเสนอไปทั้งหมดจะเวิร์กสำหรับธุรกิจคุณหรือไม่ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเอเจนซี่ส่วนมากมักใช้คำพูดขายฝัน หรือนำเสนอรายงานหลอก ๆ เพื่อทำให้คุณเชื่อใจแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ และตอนที่เราเผยแพร่ Case study นี้ออกไปครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ก็ดูจะไม่ค่อยมีคนเชื่อในสิ่งที่เรานำเสนอ หรือชื่นชอบสักเท่าไหร่
ตัวอย่างโพสต์ของเรา:
ความคิดเห็นส่วนมากที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เรานำเสนอ:
ยังมีอีก:
เราคิดว่าคงจะหมดแล้ว แต่...
เห็นภาพกันแบบชัด ๆ
คนส่วนมากคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นสิ่งที่หลอกลวง โกหกทั้งสิ้น
บางคนถึงกับพูดว่า “แค่ฟลุค” โดยให้เหตุผลว่าในสถานการณ์แบบนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่างได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น
แต่เราเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ ทำไมถึงคิดแบบนั้น?
เพราะเราสร้างยอดขายแบบมหาศาลให้กับพาร์ทเนอร์ได้อีกครั้ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในครั้งแรกเพียงไม่กี่เดือน โดยใช้แพทเทิร์นเดิมเดียวกันกับที่เราเคยทำก่อนหน้านี้
เราสร้างรายได้กว่า 21 ล้านบาท ภายใน 6 สัปดาห์ให้กับโรงแรมในเครือ La Flora group อีกครั้ง ด้วยกลยุทธ์ขยายโปรโมชันยอดนิยม นำเสนอห้องพักราคาเท่าเดิม และถึงแม้จะยังไม่มีประกาศที่ชัดเจนเกี่ยวกับการคลายล็อกดาวน์ แต่เราก็ยังสามารถสร้างยอดขายได้อย่างถล่มทลาย
ตลอดระยะเวลา 45 วัน (ตั้งแต่ 5 มิถุนายน ถึง 19 กรกฎาคม 2563) เราใช้เงินลงทุนบนแพลตฟอร์ม Facebook ไปทั้งสิ้น 3 ล้านบาท เพื่อโปรโมทโปรโมชัน Summer Calling ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากที่สุด ซึ่งราคานี้รวมค่าบริการของเราเรียบร้อยแล้ว
ตัวเลข 21 ล้านบาทนี้กำลังบอกว่า La Flora group ได้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) สูงถึง 7 เท่า นับเป็นครั้งที่สองติดต่อกันที่สามารถทำได้
เคล็ดลับความสำเร็จภายใน 45 วันนี้ เราแบ่งออกเป็น 2 เฟสคือ:
เฟสที่ 1: 30 วันแรกเราเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจ และกระตุ้นให้คนอยากมาพักที่โรงแรม โดยเน้นทั้งกลุ่มลูกค้าใหม่ และผู้ที่เคยแสดงความสนใจในเพจมาก่อน แต่ยังไม่ได้ทำการจอง
เฟสที่ 2: ช่วง 15 วันสุดท้ายเราเน้นเฉพาะเนื้อหาที่เป็นโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง และเจาะกลุ่มลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในเพจมาก่อน และพร้อมที่จะซื้อแล้วเท่านั้น
โฆษณาด้านล่างคือตัวอย่างเนื้อหาที่เรานำเสนอในเฟสที่ 1 (เราแปะรายละเอียดไว้ให้ด้านล่างเพื่อทำให้ทุกคนเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น)
ในส่วนของก๊อบปี้ และรูปภาพ เรานำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ว่าโปรโมชัน “Summer Calling” ขยายเวลาในการจองห้องพัก แต่นั่นก็อาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า Covid-19 เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนส่วนมากยังไม่กล้าเดินทาง เราจึงมานั่งทบทวนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น จนเราค้นพบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่ทำการจองภายในระยะเวลาที่กำหนด สามารถเลือกวันเข้าพักได้ด้วยตนเองนานถึง 1 ปี (นับจากวันที่จอง)
ซึ่งในช่วง 30 วันแรก เรานำเสนอเนื้อหาที่ชัดเจนแบบนี้ในเฟสที่ 1 มาโดยตลอด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และเป็นการกระตุ้นให้คนที่กำลังลังเลได้ใช้เวลาในการตัดสินใจ และใช้ช่วงเวลา 15 วันสุดท้ายในเฟสที่ 2 กระตุ้นให้เกิดยอดจองมากที่สุด ดังตัวอย่างที่เราแปะไว้ให้ด้านล่าง
ถึงแม้ว่าก๊อบปี้ และรายละเอียดการจองห้องพักจะเหมือนกับโฆษณาในเฟสที่ 1 แต่มุมมองการนำเสนอ หรือไอเดียนั้นแตกต่างกันออกไป โดยเราเน้นใช้คำว่า “7 วันสุดท้าย” เพื่อกระตุ้นให้คนต้องรีบกดจองห้องพักในทันที และทำให้คนอ่านรู้สึกว่าถ้าพลาดครั้งนี้อาจจะต้องรออีกทีในปีถัดไป
การนำเสนอไอเดีย “7 วันสุดท้าย” เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีสิทธิพิเศษที่สามารถเลือกวันเข้าพักได้เองเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายไปเพียงน้อยนิด
อย่างไรก็ตามเฉพาะเฟสที่ 2 ในช่วง 7 วันสุดท้าย ทีมเราสามารถสร้างรายได้ที่เกินคาดกว่า 9 ล้านบาท และหลังจากที่โปรโมชันสิ้นสุดลง เราสามารถสร้างยอดขายได้ทั้งสิ้น 21,716,803 บาท เมื่อรวมรายได้ทั้งหมดจากโปรโมชัน Summer Calling รายได้รวมสุทธิมีมูลค่าสูงถึง 45 ล้านบาท โดยใช้เวลาเพียง 12 สัปดาห์เท่านั้น
ความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากทีมของเราไม่มีความมุ่งมั่นที่มากพอ และไม่ได้รับการสนับสนุนจากทีมงาน La Flora group เพราะพวกเราเชื่อว่าผลลัพธ์จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากการลงมือทำ ดังนั้นส่วนไหนที่เราเห็นว่าสามารถพัฒนาได้ เราจะสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับพาร์ทเนอร์โดยตลอด ดังนั้นคุณจึงได้เห็นเว็บไซต์ที่สามารถจองห้องพักได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ความใส่ใจในรายละเอียดการจองของลูกค้าที่ไม่เคยมีตกหล่นแม้แต่ครั้งเดียว
และสิ่งสำคัญที่สุดคือพนักงานหลายร้อยชีวิตที่ทำงานอยู่ในเครือโรงแรม La Flora group ไม่มีคนใดที่โดนไล่ออกในช่วงวิกฤติ Covid-19 ที่ผ่านมา ทั้งหมดล้วนเกิดจากความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง พร้อมเปิดใจที่จะเรียนรู้ และรับฟังอีกฝ่ายอย่างไม่มีอคติ
สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราพูดไปทั้งหมด เราไม่ได้มาขายฝัน หรือโน้มน้าวใจด้วยคำพูดที่ดูเกินจริง แต่สิ่งที่เราแคร์มากที่สุดคือการช่วยให้ธุรกิจอื่น ๆ เติบโต และประสบความสำเร็จเหมือนกับที่เราทำให้ La Flora group
1. ทัศนคติของคุณ และทีมผู้นำคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
เปิดใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับโลกของการตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินบางสิ่งบางอย่าง เพราะแค่คิดว่ามันน่าจะดี หรือไม่ดี หมั่นเทสต์โฆษณาแล้วดูว่าเนื้อหาแบบไหนที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมมากที่สุด แล้วนำไอเดียที่ได้ไปต่อยอดเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และอย่าลืมว่าการเดินทางจะไม่มีวันเริ่มต้นด้วยความสำเร็จก่อนอย่างแน่นอน
2. ร่วมงานกับเอเจนซี่สมัยใหม่เพื่อเติบโตไปด้วยกัน
อย่าจ้างเอเจนซี่หากคุณยังไม่มีแผนธุรกิจในระยะยาว หรือแค่เพราะมีงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยากให้ช่วยทำ แต่ถ้าคุณต้องการคนเพื่อมาช่วยงานแค่นั้นจริง ๆ เราแนะนำให้คุณมอบหมายงานให้คนในทีมดีกว่าเสียเงินเพื่อจ้างคนภายนอก
เพราะการจ้างเอเจนซี่ที่มีประสบการณ์นั่นหมายความว่าคุณจะต้องได้สิ่งที่คุณ และทีมไม่สามารถทำได้ เช่น หากคุณจ้างเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์ ทีมงานผู้เชี่ยวชาญต้องมีการวางกลยุทธ์ในการดำเนินงานที่ชัดเจน และเซต KPI เพื่อวัดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าธุรกิจคุณเติบโต หรือได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากน้อยเพียงใด
สิ่งสำคัญคือคุณต้องโฟกัสไปยังกลยุทธ์ที่ใช้ในการดำเนินงานแบบจริงจัง มากกว่าการแก้รายละเอียดยิบย่อยที่ไม่ได้ส่งผลดีให้กับยอดขายของคุณเท่าที่ควร เช่น การแก้ก๊อบปี้ หรือดีไซน์ที่จะใช้ในการโฆษณา
ดังนั้นคุณควรเลือกเอเจนซี่ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง และวัดผลอย่างมีที่มาที่ไป มากกว่าการเลือกจากคำโฆษณา หรือไอเดียนำเสนองานที่ดูเกินจริง เพราะสุดท้ายแล้วคุณก็จะได้รับแค่รายงานการตลาดประจำเดือนที่ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าธุรกิจคุณเติบโต หรือยังอยู่ที่เดิม
3. อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากเกิดโรคระบาด Covid-19 เราทุกคนต่างต้องทำงานหนักขึ้น และพยายามปรับปรุง พัฒนาตนเองเพื่อสร้างยอดขายที่มากกว่าเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามเรายังรู้ว่ามีข้อดีคือกลุ่มเป้าหมายของเรายังอยู่ที่เดิม และยังคงมีพฤติกรรมพร้อมซื้อเช่นเคย
ดังนั้นธุรกิจสมัยใหม่ควรปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่เอาตัวรอดในช่วงที่ยากลำบาก แต่ยังต้องสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้นเรื่อย ๆ จากธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที