หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณคงรู้ดีว่าหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุด คือ การไม่รู้ว่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้มากยิ่งขึ้นอย่างไร คุณอาจจะลองทำทุกอย่างแล้วแต่กลับได้ยอดขายเพียงน้อยนิด หรือติดอยู่กับการสร้างยอดขายในจำนวนเท่าเดิมโดยที่ไม่รู้วิธีการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ซึ่งจากการร่วมงานกับพาร์ทเนอร์กว่า 100 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรมทำให้เราค้นพบว่า การทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นกว่าที่เคยเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ยากจะก้าวผ่านได้สำหรับเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่
จะทำอย่างไรหากยอดขายลดลงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า?
จะทำอย่างไรหากคู่แข่งรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้?
เรากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของตัวเองอยู่หรือไม่?
เราเชื่อว่าคุณน่าจะเคยถามคำถามในข้างต้นกับตัวเองไปบ้างแล้ว และคุณก็อาจจะรู้ว่าการตลาดออนไลน์คือทางออกที่จะช่วยเพิ่มยอดขายที่มากขึ้นในยุคที่ถูกรายล้อมด้วยเทคโนโลยี และข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ข่าวดี คือ คุณสามารถเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ แต่ข่าวร้าย คือ มีอีกหลายธุรกิจที่กำลังทำสิ่งเดียวกับสิ่งที่คุณกำลังจะทำ ซึ่งมีธุรกิจเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จผ่านช่องทางนี้ และที่เหลือก็ต่างพ่ายให้กับผู้ที่มีแผนกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งกว่า
เช่นเดียวกับ Son of Wood ที่ตัดสินใจหยุดทำแคมเปญการตลาดด้วยตัวเอง และให้ทีมผู้เชี่ยวชาญจากเราเข้าไปดูแล ภายหลังร่วมงานเพียงไม่กี่เดือน แบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายสูงถึง 60% มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า
ซึ่งใน Case study คุณจะได้ค้นพบวิธีที่เราช่วยให้ Son of Wood ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขาย รวมไปถึงการเลือกคน หรือทีมการตลาดที่จะช่วยให้ธุรกิจคุณเอาชนะคู่แข่งได้อย่างแท้จริง
ซีอีโอ Son of Wood เริ่มต้นทำการตลาดออฟไลน์เป็นอันดับแรก และตัดสินใจทำการตลาดออนไลน์ด้วยตัวเองในปี 2562 เพื่อดึงฐานลูกค้าที่มีศักยภาพสำหรับการเพิ่มยอดขายรวมทั้งหมดให้เหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยจัดจำหน่าย และให้เช่าไม้แบบพลาสติกสำหรับไซต์งานก่อสร้างที่ต้องการเซ็ตปูนคอนกรีตในการขึ้นโครงส่วนต่าง ๆ ซึ่งจะประหยัดต้นทุนได้มากกว่าการใช้ไม้ หรือเหล็ก แต่ยังได้คุณภาพ ความทนทาน เทียบเท่าเช่นเดียวกัน
และเนื่องด้วยสินค้าของแบรนด์มีคุณภาพ จึงทำให้ผู้ติดตามบนเพจ Facebook มีจำนวนมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานในอุตสาหกรรมเดียวกัน
หลังจากที่ได้ลองรันโฆษณาด้วยตัวเองประมาณ 1 ปี ก็พบกับอุปสรรคใหญ่ 2 ข้อคือ:
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริหารตระหนักได้ว่า ยิ่งเสียเวลากับปัญหาในข้างต้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะสร้างรายได้ หรือคิดค้น/ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ในขณะที่แบรนด์ก็มีคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันไม่ต่ำกว่า 2 ราย และทุกเจ้าก็ต่างแย่งชิงโอกาสทางด้านรายได้จากกลุ่มเป้าหมายเดียวกันอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นผู้บริหารจึงจัดสินใจที่จะจ้างเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ให้เข้ามารับผิดชอบงานในด้านนี้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานชุดเดิมก็ไม่สามารถสร้างยอดขายตามที่ตกลงไว้ได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต่างสร้างความไม่สบายใจให้กับเจ้าของธุรกิจมาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะเอเจนซี่ส่วนใหญ่มักนำเสนอตัวเองให้น่าสนใจ ด้วยการอ้างชื่อลูกค้ารายใหญ่ ๆ หรือเคลมว่าสามารถสร้างผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้จริง แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะตรงข้ามกับสิ่งที่พูดเลยก็ตาม
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการร่วมงานกับเอเจนซี่ส่วนใหญ่จึงทำให้ธุรกิจของคุณขาดทุนทั้งในระยะสั้น และยาว เพราะกว่าที่คุณจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั่นไม่เวิร์กก็อาจจะสายเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นในทันที
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การที่คุณพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็พบว่าตัวเองติดอยู่กับปัญหาเดิม ๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ จนทำให้เสียโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ
หากเรื่องราวของ Son of Wood ต่างเคยเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณเช่นเดียวกัน เรามีวิธีเลือกทีมการตลาดที่ใช่ที่จะช่วยคุณเพิ่มยอดขายได้อย่างแท้จริง ซึ่งคุณสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้เช่นกัน
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดจะมองหาเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ แปลว่าคุณมีเวลาไม่มากพอที่จะคิดกลยุทธ์ หรือวางแผนการตลาดด้วยตัวเองอีกต่อไป และแน่นอนว่าสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ เพราะในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายธุรกิจที่ได้ร่วมงานกับเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญที่พร้อมจะแย่งยอดขายจากธุรกิจคุณอยู่ตลอดเวลา
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงสร้างลิสต์เพื่อให้คุณตอบคำถามกับตัวเองว่าเอเจนซี่ไหนที่เหมาะ หรือพร้อมจะช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจคุณมากที่สุด โดยเราอิงข้อมูลเหล่านี้จากการร่วมงานกับพาร์ทเนอร์กว่า 400+ ราย ที่เคยประสบปัญหาแบบเดียวกันมาก่อน และหลังจากที่เรารู้คำตอบที่แน่ชัด เราจึงได้สรุปมาเป็น 3 หัวข้อสำคัญดังต่อไปนี้:
1. เลือกทีมที่พร้อมจะรับผิดชอบด้านยอดขายให้กับธุรกิจคุณ
ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจ้าของธุรกิจต้องเจอ คือ การมองหาเอเจนซี่ที่รับผิดชอบผลลัพธ์ทางด้านรายได้ของธุรกิจ เนื่องจากเอเจนซี่ส่วนมากมักจะตกลงแค่เพียงตัวเลข หรือ KPI ต่าง ๆ ที่อาจจะนำไปสู่รายได้เท่านั้น เช่น การรับรู้แบรนด์ จำนวนคลิก จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ จำนวนการเข้าถึง หรือจำนวนที่โฆษณาถูกเผยแพร่ออกไป แม้ว่า KPI เหล่านี้ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน แต่ถ้าคุณต้องการทำให้เกิดยอดขายอย่างแท้จริง คุณควรจะโฟกัสไปยัง KPI ที่ช่วยสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้มากกว่าตัวอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างเช่น หากเอเจนซี่ระบุว่าการมีจำนวนครั้งของโฆษณาที่เพิ่มขึ้นจะช่วยทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น คุณต้องทำความเข้าใจกับทีมงานตั้งแต่แรกว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร หรือมีวิธีการวัดผลที่ชัดเจนหรือไม่ เป็นต้น
หรือตัวอย่างด้านล่างนี้ที่เป็นการเปรียบเทียบวัตถุประสงค์ที่เวิร์ก และไม่เวิร์ก:
✗ วัตถุประสงค์ของแคมเปญนี้ คือ การเพิ่มจำนวนครั้งที่โฆษณาให้ถึง 2 ล้านครั้ง เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ที่อาจจะช่วยเพิ่มยอดขายให้มากยิ่งขึ้น
✓ วัตถุประสงค์ของแคมเปญนี้คือการสร้างรายได้ 2 ล้านบาทภายในระยะเวลาที่กำหนด ด้วยการเพิ่มจำนวนการแสดงผลของโฆษณา
ที่จริงแล้ววัตถุประสงค์ที่ไม่เวิร์กไม่ได้ผิดทั้งหมดขนาดนั้น แต่แค่จะทำให้คุณสับสนในเวลาที่ต้องทำการตลาดด้วยตัวเอง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องการจะเพิ่มยอดขาย คุณก็จะให้ความสนใจกับการเพิ่มจำนวนครั้งที่โฆษณาอยู่อย่างนั้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคุณควรจะไปโฟกัสกับ KPI อื่นที่ช่วยเพิ่มรายได้ได้มากกว่า
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณควรเลือกเอเจนซี่ที่วางเป้าหมายที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจคุณ และคนที่บอกคุณว่าจะพาไปสู่ความสำเร็จนั้นได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นแล้วคุณอาจจะต้องสูญเสียทั้งเงิน และเวลาอย่างเปล่าประโยชน์
2. เลือกทีมที่เคยช่วยธุรกิจที่ใกล้เคียงกับธุรกิจคุณให้ประสบความสำเร็จมาก่อน
สิ่งแรกที่เจ้าของธุรกิจมักจะทำเมื่อกำลังตัดสินใจมองหาเอเจนซี่ คือ การดูโปรไฟล์ หรือ Case study ที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ หากคุณทำแบบนี้ทุกครั้ง นั่นแปลว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะสิ่งนี้จะบอกคุณว่าเอเจนซี่ที่คุณกำลังสนใจมีความสามารถมากพอ หรือประสบการณ์ในการช่วยธุรกิจรายอื่น ๆ มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด คือ การตัดสินใจเลือกเอเจนซี่ที่เคยทำงานกับแบรนด์ใหญ่ ๆ หรือแบรนด์ชื่อดังเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราบอกคุณในข้างต้นว่าควรเลือกเอเจนซี่ที่ช่วยธุรกิจที่คล้ายคลึง หรือใกล้เคียงกับธุรกิจคุณประสบความสำเร็จ โดยอิงจาก 3 ตัวแปรดังต่อไปนี้:
A. อุตสาหกรรมเดียวกัน - เอเจนซี่ที่คุณสนใจเคยทำงานกับแบรนด์ในอุตสาหกรรมเดียวกันกับแบรนด์คุณหรือไม่ และได้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง?
B. ขนาดของธุรกิจลูกค้า - แบรนด์ที่เคยร่วมงานกับเอเจนซี่ที่คุณสนใจเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ หรือเล็ก? มีพนักงานไม่เกิน 30 คน หรือมากกว่า 100 คน? มีสาขาทั้งในไทย และต่างประเทศหรือไม่? เมื่อเทียบกับบริษัทของคุณแล้วมีจำนวนพนักงาน ความคล้ายคลึงมากน้อยเพียงใด?
C. งบประมาณ - แคมเปญที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ของเอเจนซี่ที่คุณสนใจใช้งบประมาณโดยเฉลี่ยเท่าไร? เป็นงบที่คุณสามารถจ่ายได้มากกว่า หรือน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเป้าหมายตามที่คุณต้องการ? เอเจนซี่มีความเชี่ยวชาญในการเพิ่มรายได้ และประสิทธิภาพที่สามารถวัดผลได้หรือไม่?
3 ตัวแปรในข้างต้นจะทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเอเจนซี่ไหนที่จะเหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด โดยคุณสามารถนำคำถามในข้างต้นไปพูดคุยกับทีมงานที่สนใจก่อนการตัดสินใจร่วมงานได้ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้คุณต้องเสียเงิน และเวลาแบบเปล่าประโยชน์
อย่างไรก็ตามหากคุณเจอเอเจนซี่ที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ข้อก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเอเจนซี่ที่มีคุณสมบัติจาก 2 ใน 3 ข้อจะแย่เสมอไป หากพวกเขาสามารถรับผิดชอบทางด้านยอดขาย และช่วยให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง
3. เลือกทีมที่พร้อมที่จะแชร์เคล็ดลับความสำเร็จให้กับคุณ
เอเจนซี่ส่วนมากมักปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน เช่น แผนกลยุทธ์ การตั้งค่าแคมเปญ และข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ นั่นหมายความว่าสิ่งใดก็ตามที่เอเจนซี่เคยวางแผน และช่วยให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จ หากวันใดที่คุณตัดสินใจไม่ร่วมงานต่อ ข้อมูลเหล่านี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน
สถานการณ์นี้มักจะทำให้คุณกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร และแน่นอนว่าไม่มีใครชอบความรู้สึกที่โดนเอาเปรียบเช่นนี้
นี่คือสิ่งที่พาร์ทเนอร์ของเราพูดถึงอยู่เสมอเมื่อต้องร่วมงานกับเอเจนซี่ที่เคยปกปิดข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการร่วมงาน ซึ่งความเป็นจริงแล้วหากคุณจ่ายค่าบริการให้กับทีมเอเจนซี่ คุณมีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง เพราะอย่าลืมว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณทั้งหมด ถึงแม้ว่าข้อมูลจะมาจากฝั่งเอเจนซี่ก็ตาม
ข้อมูลจากแคมเปญการตลาดของคุณ คือ ตัวช่วยหลักที่จะช่วยให้คุณพัฒนาแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเอเจนซี่ส่วนมากถึงปกปิดข้อมูลจากคุณ เพราะเขาคิดว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขาโดยทั้งสิ้น เพราะกลยุทธ์เหล่านี้จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในอนาคตถึงแม้จะไม่มีทีมที่คอยช่วยเหลือแล้วก็ตาม
เอเจนซี่ที่ดีไม่ควรปกปิดข้อมูลกับเจ้าของธุรกิจ แต่ควรที่จะแชร์ข้อมูลที่สำคัญ และค้นหา/ปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ และไม่หยุดที่จะพัฒนาแคมเปญการตลาดให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาอยู่เหนือมาตรฐานของการตลาดที่ดีอยู่ตลอดเวลา และทำในสิ่งที่เจ้าของธุรกิจไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองได้
วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณเห็นว่าเอเจนซี่ใดที่ไม่แฟร์กับคุณบ้าง:
A. ไม่ยินยอมให้คุณเข้าไปดูบัญชีโฆษณา และไม่อนุญาตให้คุณตรวจสอบการติดตั้งแคมเปญการตลาดใด ๆ ทั้งสิ้น
B. จัดทำสัญญาที่ผูกมัดกับคุณเป็นเวลานาน อาจเป็นสัญญา 6 เดือน 12 เดือนหรือนานกว่านั้น
C. จัดทำรายงานการตลาดที่มีแค่ KPI แต่ไม่ระบุว่าตัวแปรเหล่านี้สร้างผลลัพธ์ทางด้านยอดขายได้หรือไม่ และไม่มีแนวทางที่จะพัฒนากลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้น
D. ยอมทำตามในสิ่งที่คุณขอ “ทุกอย่าง”
จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ข้อ D เป็นข้อที่อันตรายมากที่สุด เพราะอย่าลืมว่าเอเจนซี่มีหน้าที่ในการคิดค้น หรือนำเสนอแผนการตลาดใหม่ ๆ เพื่อทำให้ยอดขายดีขึ้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขายอมทำตามในสิ่งที่คุณขอแบบไม่มีข้อโต้เถียง แปลว่าพวกเขาไม่ได้สนใจว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะส่งผลดีต่อธุรกิจหรือไม่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องรายงานคุณว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ควรต้องปรับปรุง หรือพัฒนาเพิ่มเติมหรือไม่ รวมไปถึงการให้คำปรึกษาทางธุรกิจที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ เพื่อทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผน หรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้อย่างทันท่วงที
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงแนะนำมองหาเอเจนซี่มีความโปร่งใส สามารถเข้าถึง และตรวจสอบการทำงานได้ทุกอย่าง ที่สำคัญพวกเขาจะต้องมีความจริงใจ และไม่ผูกมัดคุณด้วยสัญญาระยะยาว
หลังจากที่เราได้อธิบายวิธีการเลือกเอเจนซี่ที่เหมาะสมแล้ว อีกหนึ่งเนื้อหาสำคัญที่จะช่วยให้คุณเลือกทีมการตลาดที่ดีที่สุด คือ การสังเกตข้อผิดพลาดในแผนกลยุทธ์ของเอเจนซี่ที่จะทำให้คุณเข้าใจว่ากลยุทธ์เดิมของ Son of Wood มีข้อบกพร่องตรงไหน และเราช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ซึ่งคุณสามารถค้นหาคำตอบได้ที่ Case study นี้ รวมไปถึงอ่าน Case study ที่ประสบความสำเร็จอื่น ๆ จาก ที่นี่ ได้เช่นกัน
แนวคิดง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณเห็นถึงข้อผิดพลาด แม้จะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ก็ตาม:
เมื่อใดก็ตามที่คุณไม่มีเวลาทำการตลาดออนไลน์ด้วยตัวเอง หรือเอเจนซี่ที่คุณจ้างไม่สามารถสร้างผลลัพธ์อันเป็นที่น่าพึงพอใจ ก่อนอื่นคุณควรถอยออกมาเพื่อมองภาพรวม และคอยย้ำเตือนกับตัวเองว่าทำไมคุณถึงยอมเหนื่อยกับการทำการตลาดออนไลน์นี้ตั้งแต่แรก สุดท้ายแล้วเราเชื่อว่าเจ้าของธุรกิจหลายรายต่างยอมเหนื่อยเพราะต้องการเห็นธุรกิจของตัวเองเติบโตไปอีกขั้น ไม่ว่านิยามคำว่า "เติบโต" ของคุณจะหมายถึงอะไรก็ตาม แต่การพัฒนา หรือต่อยอดให้ดีมากกว่าเดิมต่างต้องใช้ "เงินลงทุน" ที่มากขึ้นเช่นกัน และแน่นอนว่ารายได้ของบริษัทก็ต้องมาจากกลุ่มเป้าหมายที่ตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการของคุณนั่นเอง
จากที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าการตลาดนับว่าเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความคุณจะต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นคนแรกเสมอไป แต่หมายถึงการที่คุณจะต้องเข้าใจ 3 ข้อด้านล่างต่อไปนี้เพื่อให้ตัวเองอยู่เหนือคู่แข่งอยู่เสมอ:
1. กลุ่มเป้าหมายคุณคือใคร?
2. พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่ไหนมากที่สุด? (และ)
3. พวกเขาจะตัดสินใจซื้อช่วงไหนบ้าง?
แผนการตลาดส่วนใหญ่มักล้มเหลว เนื่องจากไม่ตระหนักถึงคำถาม 3 ข้อด้านบน ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญการตลาดที่คุณทำเอง หรือของเอเจนซี่ก็ตาม ซึ่งจากประสบการณ์ของเราในการช่วยพาร์ทเนอร์กว่าร้อยรายสร้างรายได้รวมกว่า 1.104 พันล้านบาท เรามักตอบคำถามเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าบนโลกนี้จะไม่มีอะไรที่แน่นอน แต่วิธีการนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่เวิร์ก และเราก็ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
คำถามเหล่านี้จึงเป็นคำถามที่ดีในการตอบตัวเองว่าแผนกลยุทธ์ของคุณมีประสิทธิภาพมากพอแล้วหรือยัง หรือใช้เป็นสิ่งในการคัดเลือกเอเจนซี่ที่จะเข้ามาร่วมงานด้วย เพราะถ้าหากพวกเขาไม่สามารถตอบคำถาม หรือชี้แจงรายละเอียดได้ แปลว่าคุณก็ไม่สมควรที่จะเสียทั้งเงิน และเวลาไปกับการจ้างทีมที่ไม่ได้ช่วยสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง
ซึ่งในส่วนของ 2 คำถามแรก คือ กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร? และพวกเขาใช้เวลาอยู่ที่ไหนมากที่สุด? คำตอบที่ได้ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ลูกค้าของคุณอาจจะเป็นวัยรุ่นมากกว่าผู้สูงอายุที่ใช้เวลาอยู่บน Facebook มากกว่า YouTube หรือ Netflix เป็นต้น
แต่ในคำตอบของข้อ 3 คุณสามารถนำพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายมาปรับให้เข้ากับแผนกลยุทธ์ของคุณได้ ดังนั้นคุณจะต้องรู้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการในช่วงใดมากที่สุด เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการของคุณในทันที
แท้ที่จริงแล้วมีเพียง 3% จากกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น หรือ 3 คนจาก 100 คน ที่จะพร้อมซื้อสินค้า/บริการของคุณในทันที เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นเราจะใช้โมเดล Sales pyramid ด้านล่างนี้เพื่อให้คุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น:
เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้ใช้งานอยู่ในโลกออนไลน์กว่าหลายพันล้านคน จึงไม่แปลกว่าทำไมเราถึงต้องเผชิญปัญหากับการระบุว่าในคนกลุ่มใหญ่นี้จะมีกี่คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นการใช้โมเดลพีระมิดนี้จะทำให้เห็นภาพกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เราอ้างอิงโมเดล Sales pyramid จากหนังสือ ‘The Ultimate Sales Machine’ เขียนโดยที่ปรึกษาทางธุรกิจระดับโลกอย่าง Chet Holmes ซึ่งเราได้นำเนื้อหาส่วนนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนการตลาดออนไลน์ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยให้พาร์ทเนอร์ของเราประสบความสำเร็จ และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง
กลุ่มคน 3% มักเป็นกลุ่มคนที่พร้อมซื้อสินค้า/บริการของคุณในทันที โดยที่ส่วนใหญ่มักจะกดติดตามเพจ กดไลก์ หรือมีส่วนร่วมกับโพสต์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะเคยสนทนาผ่านอินบ็อกซ์มาแล้วก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ ส่วนที่เหลืออีก 97% ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนที่พร้อมซื้อแต่ก็เป็นกลุ่มที่อาจจะกลายมาเป็นกลุ่มเป้าหมายในอนาคตได้เช่นกัน ซึ่งเราจะแบ่งออกตามกลุ่มดังต่อไปนี้:
1. สนใจสินค้า/บริการแต่อยู่ในช่วงตัดสินใจซื้อ
2. ยังไม่สนใจหาสินค้า/บริการอย่างจริงจัง
3. ไม่สนใจ
ดังนั้นเป้าหมายของแคมเปญการตลาดของคุณควรที่จะปิดการขายจากกลุ่มคน 3% ที่พร้อมซื้อให้ได้มากที่สุด และค่อย ๆ โน้มน้าวคนอีก 97% ที่เหลือให้กลายมาเป็นลูกค้าจริงในอนาคต ซึ่งกลยุทธ์แบบนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง หรือตามรูปแบบพีระมิดด้านล่างนี้:
หากเราลองพิจารณากลุ่มเป้าหมายของ Son of Wood จะพบว่ากลุ่มเป้าหมาย 3% และ 17% ต่างกำลังรวบรวมข้อมูลก่อนการตัดสินใจซื้อจริง มักจะเป็นกลุ่มคนที่รู้จักแบรนด์เป็นอย่างดี และกำลังตระหนักว่าการใช้ไม้แบบเก่าในการก่อสร้างอาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุน ในส่วนของกลุ่มคน 20% อาจเป็นผู้รับเหมาที่เริ่มตระหนักถึงปัญหาแต่ยังไม่ค้นหาทางออกอย่างจริงจัง และในส่วนของกลุ่มคน 60% สุดท้ายมักจะเป็นคนที่ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาใด ๆ จนกว่าจะมีแรงกระตุ้นในการซื้อสินค้าที่มากขึ้น หรือเจอทางออกที่ดีที่คิดว่าสามารถแก้ปัญหาที่พวกเขาเคยมีได้
สรุปได้ว่าการยกระดับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก่อนอื่นจะต้องรู้ก่อนว่า กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร? พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่ไหนมากที่สุด? และจะตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการจากช่วงเวลาไหนบ้าง? หากคุณ หรือเอเจนซี่ที่ร่วมงานด้วยไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ มีโอกาสน้อยมากที่คุณจะสร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากกลยุทธ์ที่คุณใช้ไม่ได้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
ขั้นตอนต่อไปเราจะอธิบายว่าเราได้นำวิธีการในข้างต้นทั้งหมดมาช่วย Son of Wood ปรับแผนกลยุทธ์ให้เข้ากับการตลาดแบบ Performance Markerting ได้อย่างไรบ้าง
ความสามารถพิเศษของการทำการตลาดบน Facebook คือ เราสามารถแยกกลุ่มเป้าหมายที่รู้จัก และไม่รู้จักแบรนด์ให้แยกออกจากกัน จึงทำให้ตัวแพลตฟอร์มเหมาะสมกับการเข้าถึงคนจากแต่ละระดับใน Sales pyramid เป็นอย่างมาก และนั่นคือสิ่งที่เราลงมือทำสำหรับ Son of Wood
สำหรับ Son of Wood เราทำการแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มต่อไปนี้
ปัจจุบัน Facebook อนุญาตให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกประเภทตามที่ต้องการ สำหรับกลุ่มเป้าหมายแบบ Remarketing audiences จะเป็นคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ หรือติดตามเพจมาแล้วก่อนหน้านี้ แม้แต่ในระบบพื้นฐานหลังบ้านของ Facebook ก็อนุญาตให้คุณกำหนดตัวเลือกการเข้าถึงกลุ่มคนเหล่านี้จากตัวเลือกด้านล่างต่อไปนี้:
กลุ่มคนที่เคยแสดงความสนใจในสินค้า/บริการมาก่อนหน้านี้มักจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม 3% และสำหรับกลุ่ม Cold audiences ระบบ Facebook จะอนุญาตให้คุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามความสนใจ ข้อมูลประชากร หรือแม้แต่ความคล้ายคลึงที่ใกล้เคียงกับลูกค้าจริงของคุณมากที่สุดตามตัวอย่างด้านล่างนี้:
ซึ่งการกำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยละเอียดอาจจะมีความซับซ้อนที่มากกว่านี้ เราแนะนำให้คุณมีทีมการตลาดที่เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา หรือลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในขณะเดียวกันคุณสามารถลองใช้เครื่องมือนี้ในการทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายได้เช่นกัน
และแน่นอนว่ากลยุทธ์ใดที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายก็ควรจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันนี้โดยทันที เพราะบนแพลตฟอร์มบน Facebook ยังมีฟังก์ชันอีกมากมายที่รอให้คุณได้ใช้พัฒนาแคมเปญการตลาดให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นวิธีคร่าว ๆ ที่เราใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในโลกออนไลน์ ขั้นตอนต่อไปนี้จะนำเสนอหัวใจหลักในแผนกลยุทธ์ของเรา คือ การเน้นยิงโฆษณาไปยังกลุ่ม Cold audiences เพื่อโน้มน้าวใจให้สั่งซื้อสินค้าจาก Son of Wood หากพวกเขายังไม่ตัดสินใจซื้อในทันที เราจะกระตุ้นด้วยโฆษณาแบบ Remarketing ที่จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อในท้ายที่สุด
การทำแบบนี้จะเปลี่ยนกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ ให้กลายมาเป็นกลุ่มคน 3% บนยอดพีระมิดที่ตัดสินใจซื้อสินค้าในทันที
และนี่คือความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างโฆษณา Cold ads กับ Remarketing ads
Cold ads จะเน้นไปที่การให้ความรู้เกี่ยวกับแบรนด์ และโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายผ่านการแสดงโฆษณาที่ทำให้พวกเขาเห็นว่าสินค้า/บริการของคุณมีคุณค่าต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว โฆษณาประเภทนี้จะมีทุกอย่างที่กลุ่มเป้าหมายควรรู้ก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ หรือมอบข้อมูลที่น่าสนใจพอที่จะโน้มน้าวให้เขาอยากค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์คุณเพิ่มเติม
ด้านล่างนี้คือตัวอย่างโฆษณาของ Son of Wood สำหรับกลุ่ม Cold Audiences:
จะเห็นได้ว่าในส่วนของก๊อบปี้นั้นมีความกระชับ ได้ใจความ พูดถึงคุณสมบัติหลักของแบรนด์อย่างตรงไปตรงมา คือ น้ำหนักเบา ประกอบง่าย ทนทาน งานเสร็จไว และในส่วนของดีไซน์ก็ยังใช้ภาพจริงที่อยู่ในไซต์งานก่อสร้างเพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นภาพที่ชัดมากยิ่งขึ้น
ซึ่งการนำเสนอโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรจะนำเสนอคุณค่าในสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับ เช่น ประหยัดเงิน หรือเวลา มากกว่าการนำเสนอคุณสมบัติของสินค้า อย่างเช่น คุณภาพดีเยี่ยม นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามโฆษณาจาก Son of Wood ชิ้นนี้ที่เกิดขึ้นจากแคมเปญการตลาดเดิมของแบรนด์ก็ยังคงเป็นโฆษณาที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด แม้ว่าจะใช้คุณสมบัติของสินค้าในการนำเสนอก็ตาม ดังนั้นสิ่งสำคัญในการค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายจะตอบสนองกับโฆษณาในรูปแบบใดมากที่สุด ควรเกิดขึ้นจากการทดสอบหลาย ๆ มุมมอง แล้ววัดด้วยยอดขายที่เกิดขึ้นจริง มากกว่าการใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินว่าแบบไหนจะเวิร์กมากกว่ากัน
ในทางกลับกัน Remarketing ads จะถูกออกแบบมาเพื่อโน้มน้าวคนที่เคยเห็นสินค้า และบริการของแบรนด์แล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อในทันที
ด้านล่างคือนี่คือโฆษณาแบบ Remarketing ที่นำเสนอไปยังกลุ่มคนที่รู้จักแบรนด์แล้ว:
โฆษณานี้เน้นนำเสนอโปรโมชันตามฤดูกาล โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายไปยังคนที่เห็นโฆษณาจาก Cold ads ในครั้งแรกแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ และกระตุ้นให้มีความน่าสนใจด้วยการใช้ข้อความที่เน้นความเร่งรีบ “โปรลดครั้งใหญ่แห่งปี” ที่ถ้าพลาดจากโอกาสนี้จะต้องรออีกทีปีหน้า
แม้ว่าโฆษณานี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่จริง ๆ ยังมีรูปแบบการนำเสนอโฆษณาแบบ Remarketing อื่น ๆ เช่น รีวิวจากลูกค้าจริงที่บอกเล่าความประทับใจหลังจากใช้สินค้า/บริการของคุณ ที่สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน ทั้งนี้คุณจะรู้ได้ว่าโฆษณาแบบไหนที่เวิร์ก หรือไม่เวิร์ก ขึ้นอยู่กับการทดสอบ และวัดจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
สำหรับรูปภาพในโฆษณานั้น เรานำบทเรียนจากการยิงโฆษณา Cold Ads มาปรับใช้ คือ การใส่ภาพสินค้าที่ประกอบเสร็จแล้วลงไปในตัวโฆษณา เพื่อต่อยอดผลลัพธ์ที่ดีให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นข้อดีของการทำโฆษณาออนไลน์ที่ทำให้เรารู้ว่าบางครั้งไม่จำเป็นต้องเริ่มทำทุกอย่างจากศูนย์เสมอไป หากเรามีข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงที่จะบอกเราได่ว่ากลุ่มเป้าหมายชอบ หรือไม่ชอบสิ่งใดมากที่สุด
สรุปอีกครั้งว่าหากแผนการตลาดของคุณไม่ได้ใช้ความสามารถของเครื่องมือเหล่านี้อย่างเต็มความสามารถ อาจจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ธุรกิจคุณไม่สามารถไปสู่การเติบโตตามที่คาดหวังไว้ได้ ในขณะที่ธุรกิจรายอื่น ๆ ต่างกำลังกอบโกย หรือปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกวัน
เราได้พูดถึงการเป็นผู้นำทางการตลาดออนไลน์มาพอสมควรแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความพยายามที่คุณได้ลงแรงไปทั้งหมดสามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นรายได้ หรือสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริงหรือไม่
ก่อนที่ Son of Wood จะตัดสินใจร่วมงานกับเรานั้น แบรนด์ประสบปัญหาในการสร้างรายได้ให้มากกว่ารายได้สูงสุดที่เคยทำไว้ ดังนั้นทางผู้บริหารจึงตั้งเป้าหมายในการมียอดขายที่ขึ้น 30% จากแคมเปญการตลาดของเรา จึงจะเรียกได้ว่ากระบวนการทำงานของเรานั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งข้อมูลด้านล่างต่อไปนี้ คือ รายได้ที่เกิดขึ้นจริงภายใน 6 เดือนแรกหลังจากที่ทำงานร่วมกัน:
เราช่วยให้แบรนด์มีรายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นถึง 60% นับว่าเป็น 2 เท่าจากเป้าหมายเดิม จากการใช้งบการลงทุนเท่าเดิมตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา
มากไปกว่านั้นเรายังพัฒนาผลลัพธ์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นแปลว่าทุก ๆ การตัดสินใจของเราจะต้องมาจากความต้องการที่อยากให้แบรนด์มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยการนำเอาวิธีการ หรือเคล็ดลับทุกอย่างในข้างต้นมาปรับใช้ในแผนกลยุทธ์ของตัวเอง แม้ในเดือนที่ 2 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะลดลงไปบ้างก็ตาม แต่เราก็ไม่ลังเลที่จะบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และรีบหาทางออกร่วมกับทีมผู้บริหาร Son of Wood และได้ข้อสรุปในการเปิดตัวโปรโมชันตามที่แสดงให้เห็นในโฆษณาแบบ Remarketing ในข้างต้น
โดยเราได้เพิ่มงบในการลงทุนในเดือนที่ 2 เพื่อศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของ Son of Wood เพิ่มเติมว่าสนใจโปรโมชันใดจากแบรนด์มากที่สุด เพื่อทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาว และหลังจากที่เราได้ข้อมูลที่มากพอแล้ว เราก็ปรับลดงบประมาณรายเดือนให้เข้าสู่สภาวะปกติ และหลังจากนั้นยอดขายก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Son of Wood ไม่เคยเติบโตในช่องทางออนไลน์ได้มากเท่านี้มาก่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวที่เราช่วยให้แบรนด์เติบโตไปสู่อีกระดับได้ แต่เรายังช่วยให้ผู้บริหารมี “เวลา” มากขึ้น สิ่งนี้มีความหมายกับเรามาก เพราะแปลว่าแบรนด์เจอทีมการตลาดออนไลน์ที่ใช่ที่ทำให้ผู้บริหารคลายกังวลในเรื่องของผลลัพธ์ และยังคงสามารถเข้าไปตรวจสอบผลการทำงานต่าง ๆ ของทีมงานจากชีทรวม KPI เพื่อดูภาพรวมว่าบริษัทเติบโตไปในทิศทางที่แบรนด์คาดหวังไว้หรือไม่
จากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ล้วนทำให้ผู้บริหารมีเวลาไปจัดการงานด้านอื่นที่สำคัญกว่าได้มากยิ่งขึ้น และนี่คือสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการจะเห็นแบรนด์ของตัวเองประสบความสำเร็จ และเติบโตทั้งในระยะสั้น และยาวได้อย่างแท้จริง
1. หากคุณต้องการให้ธุรกิจเติบโตอย่างแท้จริง คุณควรจะวางเป้าหมายโดยการทำให้แบรนด์ของตัวเองเป็น 1 ใน 10 ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน
นั่นหมายความว่าแคมเปญการตลาดของคุณจะต้องสร้างผลลัพธ์ได้ดีติดอันดับ 1 ใน 10 เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเริ่มจากการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นคนที่ซื้อสินค้า/บริการของคุณในท้ายที่สุด
2. ร่วมงานกับเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจที่คล้ายคลึงกับธุรกิจคุณประสบความสำเร็จมาแล้วก่อนหน้านี้
การตั้งเป้าว่าคุณจะต้องอยู่ในท็อป 10% ในอุตสาหกรรมแปล่วาคุณต้องทำงานกับทีมที่เคยพิสูจน์ความสำเร็จกับบริษัทที่คล้าย ๆ กันมาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งเพราะคนเหล่านี้มีประสบการณ์มากกว่าที่จะช่วยลดเวลาความสำเร็จให้น้อยลงกว่าตอนที่คุณลงมือทำด้วยตัวเอง
การวางเป้าหมายเพื่อขึ้นไปเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ 10 อันดับแรกในอุตสาหกรรมนั้น ๆ จะต้องอาศัยความชำนาญ และประสบการณ์พอสมควร ดังนั้นการที่คุณได้ร่วมงานกับเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยธุรกิจที่คล้ายคลึงกับธุรกิจคุณให้ประสบความสำเร็จมาก่อนจะทำให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าการลงมือทำด้วยตัวเอง เนื่องจากบางสิ่งบางอย่างคุณอาจจะมีข้อมูลเชิงลึกไม่เท่ากับทีมที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งการตลาดที่ดีจะต้องช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจแบบที่วัดผลการเติบโตได้ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่ามีเจ้าของธุรกิจบางรายที่ไม่กล้าลงทุนจ่ายค่าจ้างให้กับผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถอย่างแท้จริง โดยมีความเป็นไปได้ในเหตุผลหลายอย่าง แต่กลับเลือกจ้างทีมที่มีราคาถูก และให้ปริมาณเยอะ ๆ มากกว่าการให้ความสำคัญกับคุณภาพของงานที่จะเกิดขึ้น จึงทำให้เจ้าของแบรนด์เหล่านั้นต้องพบกับความผิดหวัง และไม่รู้เลยว่าธุรกิจของตัวเองจะเติบโตได้ขนาดไหน เพราะกว่าจะรู้ว่าไม่เวิร์กบางทีก็อาจจะสายเกินแก้ไปแล้ว
อย่าตัดสินใจร่วมงานกับเอเจนซี่เพียงเพราะชื่อเสียงเท่านั้น แต่คุณควรจะมองหาเอเจนซี่ที่เคยช่วยให้ธุรกิจที่คล้ายคลึง หรือมีขนาดใกล้เคียงกับบริษัทคุณประสบความสำเร็จ เพราะสิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าคุณจะได้ร่วมงานกับทีมที่มีความสามารถ และรู้แนวทางในการช่วยวางแผนให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ได้เช่นเดียวกัน
3. ทำตามข้อ 1 และ 2 โดยเร็วที่สุด
ยิ่งคุณเสียเวลาไปกับการหาทางออกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเสียโอกาสในการครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับตลาดออนไลน์ เพราะเชื่อว่าจะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ นั่นแปลว่าคุณจะต้องทำมากกว่าคนอื่น และใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่ามากที่สุด แล้วความสำเร็จจะตอบแทนความพยายาม และความตั้งใจที่คุณได้ทุ่มเททำลงไป