คุณเคยพยายามเปิดลูกมะพร้าวด้วยตัวเองหรือไม่? ถ้าเคย คุณคงรู้ดีว่ามันยาก และลำบากมากแค่ไหน แต่ปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขจาก David Goodman นักดนตรี และเจ้าของธุรกิจ Coco Jack ที่ได้คิดค้น “อุปกรณ์นวัตกรรมที่ช่วยเปิดมะพร้าว” หลังจากที่ได้ใช้เวลาลองผิดลองถูกมาหลายปีจนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ และเริ่มต้นวางจำหน่ายสินค้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
David สามารถสร้างยอดขายกว่า 325,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ จนในปี 2015 ถูกรับเชิญ
ให้ไปออกรายการสตาร์ทอัพชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง “Shark Tank” โดยมี Mark Cuban อัครมหาเศรษฐีผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจที่เห็นศักยภาพของอุปกรณ์สุดพิเศษนี้ โดยได้กล่าวว่า (“เมื่อมีคนแก้ปัญหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าปัญหาเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไข อุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็จะถือกำเกิดขึ้น”) พร้อมยื่นข้อเสนอเพื่อสนับสนุนเงินลงทุนให้กับ Coco Jack ทันที
ธุรกิจของ David เติบโตอย่างรวดเร็ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินจดสิทธิบัตร สำหรับรอการลงทุนเพื่อที่จะเข้าครอบครองตลาดโลก
เราต้องการช่วยให้ Coco Jack สามารถเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ต้องรักษาผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ให้อยู่ในจุดที่ไม่ขาดทุนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเราสามารถเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจนี้ได้จริง
ก่อนหน้านี้ Coco Jack ใช้เงินลงทุนในการทำโฆษณาออนไลน์บน Facebook วันละ 3,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคงได้กำไรอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันผลตอบแทนการลงทุน (ROI) กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเราต้องทำให้ David มั่นใจว่าเราจะสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นในขณะที่ต้องทำให้ตัวเลขของผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อยู่ในสถานะที่ส่งผลดีต่อธุรกิจ
แผนการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพของเราช่วยให้ Coco Jack เพิ่มยอดขายได้ถึง 126% หรือคิดเป็น 2 เท่าจากยอดขายเดิม โดยใช้เวลาเพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น และยังรักษาผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้อยู่ในสถานะที่ได้กำไร ไม่ขาดทุน นอกจากนี้เรายังพิสูจน์ให้เห็นอีกว่าสินค้าของแบรนด์มีคุณภาพมากพอที่จะสนับสนุนการผลักดันรายได้ที่มากขึ้น และมีศักยภาพที่จะเติบโตไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้เช่นกัน
ทางออกอย่างแรกสำหรับ David คือ ต้องเข้าใจว่าการยกระดับแคมเปญโฆษณาจะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา David สามารถรันโฆษณาบน Facebook จนให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ประกอบกับผลตอบแทนการลงทุนก็ยังส่งผลดีต่อธุรกิจเช่นกัน นั่นหมายความว่าเงินทุก ๆ เหรียญที่ลงทุนไปสามารถแปรผันกลายมาเป็นมูลค่าอันมหาศาลให้กับ Coco Jack สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หาก David ไม่มีความเข้าใจในการทำการตลาดออนไลน์ และไม่รู้จักกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี
แคมเปญโฆษณาของ Coco Jack มีประสิทธิภาพสูง แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดบน Facebook ก็ยังต้องให้ความสนใจ เนื่องจาก David มีความเข้าใจในตลาดออนไลน์เป็นอย่างดี มีข้อมูลเก่า ๆ จากการทำงานจริงที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และเป้าหมายที่สูงพร้อมงบการตลาดที่สามารถลงทุนตามรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราจึงใช้ 4 ขั้นตอนด้านล่างนี้เพื่อทำให้แคมเปญโฆษณาของ Coco Jack ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้
1. การวิเคราะห์ข้อมูล
ขั้นตอนแรก คือ เรียนรู้เกี่ยวกับแคมเปญก่อนหน้านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และแรงจูงใจในการซื้อสินค้า เนื่องจากความรู้ของ David ที่ใช้ในการสร้างแคมเปญที่ผ่าน ๆ มาจะช่วยทำให้เราเข้าใจธุรกิจได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถเริ่มต้นการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งในระหว่างการดำเนินงาน เราได้กำหนดตัวชี้วัดข้อมูลที่จะคอยเป็นผู้ควบคุมกลยุทธ์ที่จะทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จตามที่เราคาดหวังไว้ได้ โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นในวันแรกทันที และหลังจากนั้นเราพัฒนา และปรับปรุงแผนการตลาดออนไลน์อยู่เสมอเพื่อให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้ให้กลับคืนไปยังธุรกิจ
2. การแบ่งกลุ่มลูกค้า
จริง ๆ แล้วสินค้าจาก Coco Jack สามารถดึงดูดความสนใจจากลุ่มเป้าหมายได้อย่างหลากหลาย ดังนั้นเราจึงทำการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (ต้นทุนต่อการขาย) และเน้นทำการตลาดเฉพาะในแต่ละกลุ่ม โดยเลือกประเด็นในการนำเสนอสินค้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น คนเอเชียที่ใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐฯ จะตอบสนองกับโฆษณาไม่เหมือนกับแม่บ้านที่เลือกทานอาหารวีแกน เป็นต้น แต่ท้ายที่สุดแต่ละคนต่างตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยเหตุผลส่วนตัวกันทั้งนั้น
3. การปรับโครงสร้างการทำโฆษณาบน Facebook
เรามีการปรับโครงสร้างแคมเปญ และโฟกัสไปที่ 3 แคมเปญหลัก ๆ คือ การรับรู้แบรนด์ การเพิ่มยอดขาย และการรีมาร์เก็ตติ้ง
การรับรู้แบรนด์: โฆษณาที่มีอยู่ในขณะนี้ถือว่าดีมากแล้วในการสร้างการรับรู้สินค้าของแบรนด์ให้กลายเป็นที่รู้จัก โดยที่ Coco Jack มีวิดีโอสั้น ๆ ที่อธิบายสินค้าอย่างละเอียด และวิดีโอนี้ก็ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพกว่า 1,000 คนที่จะกลายมาเป็นผู้ซื้อรายใหม่ในทุกวัน
การเพิ่มยอดขาย: เราสามารถใช้ภาพเดี่ยว (แบนเนอร์) นำเสนอเนื้อหาที่น่าดึงดูดสำหรับการโน้มน้าวใจของกลุ่มเป้าหมายโดยส่งกลุ่มคนเหล่านี้ให้ไปซื้อสินค้าที่หน้าเว็บไซต์
รีมาร์เก็ตติ้ง: ถึงแม้ว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์วันละ 1,000 คนก็ตาม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่ในสถานะ “พร้อมซื้อ” จึงทำให้แบรนด์มีโอกาสสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้รับจากกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อในทันที ดังนั้นแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจ และกระตุ้นทำให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าในท้ายที่สุด
4. การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ได้ข้อมูลพื้นฐานอย่างถูกต้องแล้ว การตรวจสอบ ทดสอบ และพัฒนาแคมเปญเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถึงแม้ว่าเรามีการแบ่งรายละเอียดออกเป็น 3 แคมเปญหลัก ๆ ตามที่อธิบายไว้ในข้างต้น แต่จริง ๆ แล้วเรามีโฆษณาที่แตกต่างกันกว่า 100 รูปแบบ ตามแต่ละจุดประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย และครีเอทีฟที่ถูกรันในเวลาเดียวกัน
เพียงแค่ 5 สัปดาห์ เราสามารถสร้างผลลัพธ์ดังต่อไปนี้:
- เพิ่มยอดขายกว่า 126% หรือมากกว่า 2 เท่าจากยอดขายเดิม
- รักษาผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ให้อยู่ที่ 3 เท่า
ระหว่างการดำเนินงาน เรามองเห็นโอกาสสำคัญนอกเหนือจากการทำโฆษณาบน Facebook ที่จะช่วยให้ Coco Jack ประหยัดเงินในการทำโฆษณาเพื่อตอบสนองกับกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เช่น
- เปลี่ยนให้คนมาช้อปออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือมากยิ่งขึ้น: จากข้อมูลของพวกเราค้นพบว่าในปัจจุบันคนส่วนมากมักใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเราจึงอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเป้าหมายสามารถช้อปบนโทรศัพทมือถือได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้เราสามารถเพิ่ม Conversion rate ให้มีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
- แนะนำให้ใช้ Google Adwords: จากผลการดำเนินงานพบว่าการใช้ Google Adwords ช่วยทำให้ราคาของ Conversion rate ถูกลง ดังนั้นเราจึงเพิ่มกลยุทธ์นี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดทั้งหมดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Coco Jack มีศักยภาพอย่างมากที่จะเติบโตในสหรัฐฯ และทั่วโลก โดยความท้าทายหลักของแบรนด์ คือ การหาแหล่งลงทุนเพื่อผลิตสินค้าให้เพียงพอ และตั้งให้เป็นห่วงโซ่อุปทาน หรือกระบวนการต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการผลิตสินค้าที่เพียงพอต่อความต้องการเพื่อรองรับตลาดของคนที่ชอบทานมะพร้าวทั่วโลก